ปีใหม่ทุกปีเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง เตรียมพร้อมรับสิ่งดีๆต้อนรับสิ่งปีใหม่
ช่วงนี้หลายคนคงได้รับคำอวยพรในรูปแบบต่างๆ ทั้งการ์ดอวยพร, e-mail, หรือแม้แต่ข้อความอวยพรเก๋ๆใน LINE เพื่อส่งความสุขให้แก่กัน
พูดถึงความสุข เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากมี แต่แทนที่จะอวยพรส่งความสุขเหมือนคนอื่น ผมขอส่งความสุขด้วยการแนะนำ 5 นิสัยสร้างความสุข (Happy habits) จาก Shawn Achor ผู้แต่งหนังสือ The Happiness Advantage: The Seven Principles of Positive Psychology That Fuel Success and Performance at Work
ซึ่ง Shawn บอกว่า เพียงทำติดต่อกัน 21 วัน หรือ 3 อาทิตย์ จนเป็นนิสัยคุณจะมีความสุขเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน
- ทุกเช้า เขียน 3 อย่างที่เรารู้สึกอยากขอบคุณ จะขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ที่คอยดูแล ขอบคุณแมวที่นอนข้างกัน หรือขอบคุณที่ตื่นมายังมีลมหายใจก็ได้ แต่ต้องคิดใหม่ทุกวัน อย่าซ้ำเดิม
- ใช้เวลา 2 นาทีทุกวัน จดบันทึกเรื่องราวดีๆหนึ่งเรื่อง ที่เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ยิ่งละเอียดยิ่งดี
- ทำสมาธิ 2 นาทีทุกวัน หลายคนแค่นึกก็หลับแล้ว แต่ทำสมาธิในที่นี้ แค่นั่งสบายๆ หลับตา ผ่อนคลาย ตามหายใจเข้า-ออก เพียง 2 นาที เท่านั้น ไม่เกินความสามารถใช่มั้ยครับ?
- ช่วยคนอื่นอย่างง่ายๆทุกวัน โดยไม่ต้องเสียเงิน หรือ เวลา แต่อาจต้องสร้างสรรค์บ้าง เช่น ขอบคุณแม่บ้าน กดลิฟท์รอคน เปิดประตูค้างให้คนข้างหลัง หรือจ่ายเงินค่ากาแฟให้สาวน่ารักคนข้างหลัง (อะไรนะ?)
- ออกกำลังกายวันละ 15 นาที ให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า เพราะจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ อยู่บ้านก็อาจกระโดดตบ อยู่ที่ทำงานก็ลองเดินแทนการใช้ลิฟท์หรือบันไดเลื่อน ถ้าขึ้นลงชั้นเดียว อยากให้ร่างกายอยู่นิ่งไม่ว่าจะนั่ง หรือนอน นานเกินไป
จะเห็นว่าทั้ง 5 ข้อ ไม่ยากเกินความสามารถของทุกคน แต่ช้าก่อน…
คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มทำทั้ง 5 อย่างพรุ่งนี้ เพียงเลือก 1 อย่างที่คุณอยากทำ แล้วทำทุกวันจนติดเป็นนิสัยก่อนจะเพิ่มอีก 1 อย่าง
ไม่ต้องเร่ง ค่อยๆทำทีละอย่าง ให้ติดเป็นนิสัย
แล้วความสุขก็อยู่กับคุณ
สวัสดีปีใหม่ 2558 ครับ
ระหว่างประชุม ผู้จัดการเล่าเรื่องตลกให้ทีมฟัง
เนื่องจากเรื่องมันโดน หรือลีลาการเล่าขั้นเทพ ทำให้ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลอยู่นาน
หลังจากที่ทุกคนหยุดหัวเราะ ผู้จัดการเล่าเรื่องตลกเรื่องเดิมใหม่ครั้งที่สอง
คนส่วนใหญ่ก็ยังหัวเราะอยู่
พอคนหยุดขำ หัวหน้าก็เริ่มเล่าเรื่องตลกเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สาม ด้วยลีลา จัดเต็มเหมือนเดิม
ยังพอได้ยินเสียงขำอยู่บ้าง แม้คนส่วนใหญ่จะเริ่มฟังแล้วเฉยๆแล้ว
แต่ท่านผู้จัดการยังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเท่านั้น ทุกครั้งที่คนหยุดหัวเราะ ผู้จัดการก็เล่าเรื่องตลกเรื่องเดิมใหม่ ครั้งที่สี่ ห้า และหก
อย่างที่พอจะเดาได้ คนที่นั่งฟัง ไม่เพียงเริ่มไม่ขำ ไม่หัวเราะ
หลายคนหงุดหงิด รำคาญจนอยากลุกหนี ไม่เข้าใจว่าผู้จัดการเป็นอะไร เล่าตลกมุกเดิมๆซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
สุดท้ายมีหนุ่มคนหนึ่งรวบรวมความกล้า ยกมือถามผู้จัดการว่า
“หัวหน้าสบายดีรึปล่าวครับ? ทำไมเล่าเรื่องตลกเรื่องเดิม ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ได้”
ผู้จัดการอารมณ์ดีตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆว่า
“อ่าว แล้วเรื่องที่ผมเล่า ไม่ขำหรอกหรือ?”
พนักงานอีกคนยกมือ ลุกขึ้นตอบว่า
“เรื่องตลกของหัวหน้า ขำสุดยอดเลย แต่ผมขอพูดตรงๆนะครับ หลังจากฟังเรื่องตลกที่หัวหน้าเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเริ่มไม่ขำ แถมยังทำให้ทุกคนทั้งหงุดหงิด และอึดอัดอีกครับ”
ผู้จัดการได้ยินเช่นนั้นก็ยังใจเย็น ตอบกลับเรียบๆ
“นี่ขนาดเรื่องตลกเรื่องเดิมที่ทำให้คุณขำตกเก้าอี้ตอนแรก พอเล่าซ้ำๆยังทำให้คนหงุดหงิดได้ขนาดนี้ ลองนึกดูเวลาผมฟังปัญหา ความผิดพลาด เดิมๆ ซ้ำๆจากพวกคุณ ผมจะรู้สึกยังไง?
ฟังครั้งแรกๆก็พอเห็นใจ เข้าใจได้อยู่
แต่หลังจากให้คำแนะนำไป คุณก็ยังไม่ปรับปรุง พัฒนา แต่ยังเอาปัญหาเรื่องเดิมๆ มาบอกผมอยู่ตลอด แถมไม่บอกด้วยว่าจะแก้ยังไงแบบนี้
จะให้ผมรู้สึกยังไง…”
คำถาม: คุณเล่าปัญหาซ้ำๆให้หัวหน้าของคุณอยู่รึปล่าว?
____________________________________________________________
ถ้าชอบบทความนี้ คุณอาจจะสนใจ Monday’s Spark with Chutchapol.com ซึ่งผมคัดไอเดียเจ๋งๆ คำถามสั้นๆ ที่จะช่วยกระตุ้นพลังในการทำงานทุกเช้าวันจันทร์
เวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง มักจะเป็นช่วงที่หลายองค์กร “ล้อฟรี”
ล้อฟรี เพราะรู้ว่าผู้บริหารคนเก่าจะไม่มีอำนาจให้คุณ ให้โทษอีกแล้ว
ล้อฟรี เพราะทุ่มทำอะไรไป แล้วเกิดไม่ใช่สิ่งที่นายคนใหม่สนใจ ก็อาจเหนื่อยฟรี
ล้อฟรี เพราะดูท่าทีของนายคนใหม่ก่อนว่าจะมาแบบไหน จะได้รับมือ หรือสนองนโยบายถูก
หรือ ล้อฟรี เพราะปกติก็ล้อฟรีอยู่แล้ว #ห๊ะ
แน่นอนว่าผลของการล้อฟรี จะให้คนในทีมอาจรู้สึกขาดทิศทาง และชิวขึ้น เพราะไม่กล้าเริ่มอะไรใหม่ จนกว่าผู้บริหารคนใหม่จะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และกำหนดนโยบาย
ซึ่งถ้าเป็นองค์กรใหญ่ๆ อาจล้อฟรีกันได้นานเกือบปีเลย
และอย่าคาดหวัง อะไรใหม่ๆระหว่างช่วง แม้อาจหมายถึงการปล่อยให้คู่แข่งแซงหน้าไป ระหว่างที่เรามัวแต่ชิวๆกันอยู่
ผมมีโอกาสได้เห็นการเตรียมการระหว่างช่วงเปลี่ยนผู้บริหารคนใหม่ และคิดว่าช่วงเปลี่ยนแปลง ไม่ควรปล่อยให้สูญญากาศอยู่เฉยๆ เลยสรุปสิ่งที่สังเกตมา 3 ข้อ ว่ามืออาชีพเขาล้อฟรีกันยังไง
1. เตรียมแผนงานที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ในกรอบใหญ่
แน่นอนว่า ผู้บริหารคนใหม่อาจมีแนวนโยบายที่ต่างไปจากเดิม แต่ถ้าดูกรอบกลยุทธ์ใหญ่ขององค์กร แน่นอนว่ามันมีขอบเขต และทิศทางของมันอยู่ ถ้าสิ่งที่เรากำลังทำไม่หลุดไปจากกรอบใหญ่ ยังไงก็มั่นใจได้ว่าถึงลุยไปก็ไม่เสียแรงปล่าว เพราะใครจะมาก็ต้องทำเรื่องนี้ (more…)
การทำงานแข่งกับเวลาในทุกวันนี้ แทบเป็นไปไม่ได้สำหรับหลายคนที่ต้องหอบงานกลับมาทำต่อที่บ้านหลังเลิกงาน
ผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ทั้งที่พยายามจะไม่ขนงานกลับบ้าน แต่หลายครั้งก็อดไม่ได้
หลายครั้งเวลาทำงาน ยุ่งกับการประชุม จนเวลาอ่านและตอบอีเมล คือ ตอนกลางคืน มีสมาธิเงียบๆที่บ้าน
เมื่อคืนก็เป็นอีกคืนที่เผลอตอบเมลไปเรื่อยๆ ถึงตีหนึ่งกว่าก่อนนอน
วันนี้ไปทำงาน หัวหน้าเรียกพบแต่เช้า #ผมนี่ยืนเลย
ไม่ได้เรียกไปชม ว่าขยัน ทุ่มเททำงานนะ แต่เรียกไปถามว่าทำไมส่งเมลดึกๆกดดันคนในทีม
ผมก็งงไปแป๊บนึง เพราะไม่เคยคิดในมุมนี้ คิดว่าเราตอบเมลในช่วงที่เราสะดวก คนรับอ่านตอนไหนก็ได้ ไมไ่ด้บังคับให้ตื่นมาตอบเมลทันทีตอนตี 3 ซะหน่อย
แต่พอมีเวลามานั่งคิดสิ่งที่หัวหน้าแนะอีกมุม จะว่าไปก็จริงนะ ว่าไม่ควรส่งเมลตอนกลางคืนดึกๆ อย่างน้อย 3 ข้อ
1. การทำงานและส่งเมลดึกๆส่งผลกับการทำงานในวันรุ่งขึ้นอย่างชัดเจน
การเอาพลังงานสำรอง ก๊อกสอง ก๊อกสามมาใช้ให้ทำงานนานขึ้น พักผ่อนไม่พอ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้ามีจุดสิ้นสุด ไม่ได้ทำจนเป็นปกติ เพราะทุกอย่างมีต้นทุนของมัน และต้นทุนนี้คือสุขภาพของเรา การทำงานได้นานอีก 3-4 ชั่วโมง ตอนกลางคืนและนอนไม่พอ จะส่งผลกับประสิทธิภาพของสมองและการทำงานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งถ้าอายุมากขึ้นจะยิ่งเห็นผลของมันชัดเจน (more…)
[youtube id=”S5qXkPNk5cA” height=”353″ width=”574″ marginbottom=”15″]
วันก่อนเห็นคนแชร์คลิปที่ Mark Zuckerberg พูดภาษาจีนในช่วง Q&A ที่มหาวิทยาลัย Tsinghua
ตอนแรกนึกว่าจะเป็นการพูดสวัสดี แนะนำตัว นิดๆหน่อยๆแบบที่คนต่างชาติทำเพื่อซื้อใจคนจีน
ที่ไหนได้ พี่แกพูดภาษาจีนตลอดช่วง Q&A เกือบครึ่งชั่วโมง แถมมีปล่อยมุกเรียกเสียงหัวเราะด้วย
ต้องบอกตรงๆว่า WOW เหนือความคาดหมายจริงๆ
ในฐานะที่ผมเคยเรียนภาษาจีนมาก่อน พอฟังออกระดับนึงยังอดทึ่งไม่ได้ ถึงความพยายามจนสามารถพูดโต้ตอบได้ระดับนี้
เลยไปหาข้อมูลดู ถึงรู้ว่าจริงๆแล้วการฝึกภาษาจีนของ Mark เป็นส่วนหนึ่งของ one big goal per year ที่เขาตั้งใจเป็น personal challenge ในปี 2010
1 ปีตั้งเป้าหมายอย่างเดียว แล้วทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างเป้าหมายของ Mark Zuckerberg ในปีที่ผ่านๆมา เช่น
2009 : ใส่เนคไทด์ไปทำงานทุกวัน
2010 : ฝึกภาษาจีน
2011 : กินเฉพาะสัตว์ที่ตัวเองฆ่าเท่านั้น
2013 : ทำความรู้จักคนใหม่ๆนอก Facebook ทุกวัน
เก๋มั้ยครับ?
ตั้งเป้าให้ใหญ่ แค่ปีละอย่าง ทำทั้งปีจนเห็นผล อย่างที่เราเห็น Mark พูดภาษาจีนได้ขนาดนี้ เป็นผลที่ชัดเจนมาก
คำถาม: อะไรคือเป้าหมายใหญ่ของคุณปีนี้?